TWC_ Newsletter
Sustainable Growth : การเติบโตอย่างยั่งยืน
ในโลกยุคปัจจุบันนี้ การใช้ชีวิตเต็มไปด้วยความยากลำบาก ไม่แน่นอน และเต็มไปด้วยการเปลี่ยนแปลง ถึงแม้ว่าเราจะมีเทคโนโลยีล้ำสมัย ที่เข้ามาช่วยอำนวยความสะดวกในการใช้ชีวิต มีเครื่องอุปโภคและบริโภคที่อุดมสมบูรณ์กว่าสมัยอดีตมากมาย แต่กลับพบว่า ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่เติบโตขึ้นเรื่อยๆ ในยุคสมัยแห่งวัตถุนิยมนี้ นั่นคือช่องว่างระหว่าง “การมี” และ “ไม่มี” ผู้คนเริ่มรับรู้ถึงอันตรายที่เกิดขึ้นจากความไม่สมดุลนี้ ทั้งในด้านสภาวะแวดล้อมที่อาจเกิดภัยพิบัติ หรือการที่โลกใบนี้อาจจะไม่เอื้อต่อการดำรงชีวิตและอยู่อาศัยของมนุษย์และเผ่าพันธุ์อื่นๆ อีกต่อไป แต่ในขณะเดียวกัน มนุษยชาติก็มีศักยภาพที่พัฒนาเพิ่มมากขึ้นในการฟื้นฟูศิลปะวิทยาการในอดีต จะเห็นได้ว่าการเปลี่ยนแปลงและพัฒนาโลกยุคปัจจุบันนี้ล้วนเป็นทั้งสิ่งที่ยอดเยี่ยมและเลวร้ายของโลกในอนาคตที่เราอาจจะต้องเผชิญ
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ผู้คนทั่วโลกต่างตระหนักถึงภัยคุกคามและการเปลี่ยนแปลงของวิถีชีวิตที่มีความทันสมัยมากขึ้น คำว่า “ยั่งยืน” หรือ “Sustainability” จึงถูกนำมาใช้ในการพูดถึงการมีสุขภาวะที่ดีขึ้น หรือการมีวิถีชีวิตในเชิงบวกมากยิ่งขึ้น คำจำกัดความกว้างๆ ของคำว่า “ยั่งยืน” ที่ประกาศใช้โดยคณะกรรมาธิการโลกว่าด้วยสิ่งแวดล้อมและการพัฒนา ในบริบทของการเป็นเป้าหมายใหม่ของการพัฒนาเศรษฐกิจ จึงหมายถึง “การพัฒนาที่ตอบสนองต่อความต้องการของคนรุ่นปัจจุบัน โดยไม่ลดทอนความสามารถของคนรุ่นต่อไปในการสนองตอบต่อความต้องการของพวกเขาเอง”
สำหรับผู้นำภาคธุรกิจ คำว่า “ยั่งยืน” จึงเป็นรหัสคำที่นิยามถึงเป้าหมายและบรรทัดฐานในการทำงาน อันหมายถึงการเคลื่อนย้ายความคิดสู่การปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม ด้วยการดำเนินธุรกิจโดยไม่ทำลายสิ่งแวดล้อมและชุมชน มีโมเดลธุรกิจและการดำเนินงานขององค์กรที่มุ่งผลในการสร้างความมั่งคั่งที่บูรณาการไปสู่ความยั่งยืนอย่างแท้จริง โดยขยายไปสูหน่วยของชุมชมและระบบนิเวศที่มีขนาดใหญ่ขึ้น องค์กรหรือหน่วยธุรกิจจะกลายเป็นระบบที่ทุกภาคส่วนขององค์กรหรือหน่วยงานมีการเชื่อมต่อไปกับสิ่งแวดล้อมและธรรมชาติ มีความสำนึกรับผิดชอบต่อสังคม ครอบคลุมไปถึงการดูแลใส่ใจถึงผลกระทบจากการทำธุรกิจที่มีต่อสิ่งแวดล้อมและสังคมมากยิ่งขึ้น เป็นต้น
แม้จะปฏิเสธไม่ได้เลยว่าความท้าทายที่เรากำลังเผชิญอยู่นี้มีทั้งความยุ่งยากและซับซ้อน แต่สิ่งหนึ่งที่เราจะต้องเน้นย้ำให้เกิดผลในเชิงบวกคือ การใช้ความคิดสร้างสรรค์ของเราในการทำงานร่วมกับผู้อื่น โดยการร่วมมือกันในการรังสรรค์โลกที่เราภาคภูมิใจและส่งต่อให้ลูกหลานได้อยู่อาศัยต่อไป ความสามารถเป็นสิ่งที่อยู่ในตัวมนุษย์ เราเลือกที่จะพัฒนาและหมั่นใช้งานมันได้ มีผู้คนและองค์กรหลายๆ องค์กรที่กำลังลงมือทำงานในเรื่องนี้อยู่เฉกเช่นเดียวกัน เราจึงเน้นย้ำเรื่องบทบาทของภาคธุรกิจและองค์กรในเรื่องของการลดทอนความยั่งยืนและการสร้างความยั่งยืน เพราะเราเชื่อว่าภาคธุรกิจและองค์กรนั้น จะเป็นกุญแจสำคัญในการนำพาโลกใบนี้ไปสู่อนาคต และสิ่งนี้ต้องการความเป็นผู้นำที่กล้าหาญ มีความสามารถในการเรียนรู้อย่างลึกซึ้ง มีความสามารถในการเชื่อมโยงแก่นแท้ที่อยู่ “ภายใน” และ “ภายนอก” ได้ในที่นี้ได้หมายรวมถึงการเชื่อมต่อการเปลี่ยนแปลงที่เกิดภายใน ในส่วนของวิธีการในการบริหารจัดการและนำออกมาใช้กับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดจากปัจจัยภายนอกขององค์กรที่มีขนาดใหญ่ขึ้นด้วย หรือการเชื่อมต่อไปกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นภายในจิตใจและวิสัยทัศน์ส่วนบุคคลไปกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นภายนอกในการบริหารจัดการของวัฒนธรรม หรือการเชื่อมต่อแก่นแท้ภายในตัวเรา ในฐานะของมนุษย์และแสดงให้เห็นถึงวิธีการที่เราปฏิบัติและรับมือกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น
ดั่งคำกล่าวของปีเตอร์ ดรัคเกอร์ ที่กล่าวถึงจุดประสงค์ขององค์กรหรือผู้ประกอบการคือการทำให้คนธรรมดาสามารถทำสิ่งที่พิเศษขึ้นมาได้ เรื่องราวที่เราแบ่งปันนี้ จึงเกิดขึ้นเพื่อแสดงให้เห็นว่ามีผู้คนที่อยู่ในองค์กรที่อยู่ในภาคธุรกิจมากมายที่กำลังต่อสู้กับความท้าทายในการนิยามความยั่งยืนให้แก่องค์กรของตนเอง และกำลังทำงานเพื่อสร้างหลักการและเผยแพร่มุมมองด้านความยั่งยืนไปสู่การปฏิบัติมากขึ้น เราจำเป็นที่จะต้องร่วมมือกันในการสร้างสรรค์องค์กรที่มีชีวิตให้สอดคล้องไปกับสังคมและธรรมชาติของโลก จนบันดาลให้เกิดคำว่า “Breathe life into” ซึ่งก็คือ “การนำความคิดและขุมกำลังใส่ลงไปในการทำอะไรบางอย่างเพื่อการนำมาสู่สิ่งใหม่” โดยเป้าหมายของเราคือการสร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้นำการเปลี่ยนแปลงทั้งหลาย มีผู้นำการเปลี่ยนแปลงมากมายที่รับรู้ว่าความยั่งยืนเป็นเรื่องที่สำคัญ แต่ผู้ที่ศึกษาอย่างลึกซึ้งถึงความหมายที่แท้จริงของมัน และเข้าใจถึงการลงมือลงแรงอย่างหนักเท่านั้น จะช่วยให้บรรลุถึงการเปลี่ยนแปลงที่จำเป็นของความยั่งยืน เราจึงเชื่ออย่างแรงกล้าว่า การที่โลกจะก้าวผ่านจุดอันตรายของยุคปัจจุบันไปสู่ยุคใหม่แห่งการฟื้นฟูศิลปวิทยาการ การคิดเชิงระบบ หรือการเรียนรู้ในเรื่องอื่นๆ นั้นเป็นสิ่งที่สำคัญมาก มันไม่ได้เป็นเพียงแค่เครื่องมือของการคิดเชิงระบบ สุนทรียสนทนา การทำงานกับจิตใจ การเรียนรู้เพื่อเพิ่มความสามารถส่วนบุคคล หรือการสร้างวิสัยทัศน์ร่วมกัน แต่มันคือการทำงานที่ใหญ่ขึ้นของจิตใจที่เกี่ยวข้องกับทัศนคติ,ค่านิยมและการทำงานร่วมกันของผู้คน
แรงบันดาลใจอันเกิดจากเรื่องราวการทำงานของกลุ่ม SOL (The Society for Organizational Learning) อันเป็นกลุ่มชุมชนแห่งการเรียนรู้ที่มีความหลากหลาย มีทั้งองค์กรข้ามชาติขนาดใหญ่ และบริษัทขนาดกลางที่มาจากหลากหลายภาคอุตสาหกรรม นักเขียนบทความประจำสถาบัน Joe Laur และ Sara Schley ได้นำเสนอว่าบุคลากรและองค์กรนั้นสามารถใช้ศักยภาพและความสามารถของตนในด้านที่มีความสำคัญต่อการทำงานในเรื่องของความยั่งยืนได้ เช่น การทำความเข้าใจร่วมกันในระบบที่มีความสลับซับซ้อน การพัฒนาทักษะด้านการฟังและสุนทรียสนทนา การสร้างความสัมพันธ์ที่ไว้เนื้อเชื่อใจซึ่งกันและกันของเครือข่ายในการทำงาน รวมไปถึงการก่อตั้งกลุ่มความร่วมมือจากหลากหลายสถาบัน เป็นต้น ซึ่งการวาดภาพวิถีชีวิตสู่อนาคตในรูปแบบดังกล่าวจะต้องมีการลงมือทำจริง กลุ่มองค์กรและธุรกิจต่างๆต้องลงมือปฏิบัติกันอย่างจริงจัง เปลี่ยนแปลงวิสัยทัศน์การผลิตของตนเอง โดยลดการสร้างผลกระทบต่อสภาพแวดล้อม เปลี่ยนกระบวนการหรือรูปแบบธุรกิจที่มีการบูรณาการสู่ชุมชมและเอื้อต่อระบบนิเวศบนโลกใบใหญ่นี้มากขึ้น
องค์กรคือระบบที่มีชีวิต ที่ทุกองคาพยพมีการเชื่อมต่อไปกับธรรมชาติ และความยั่งยืนจะช่วยให้ทุกสิ่งมีชีวิตสามารถเติบโตและเบ่งบานได้ตลอดไป ในมุมของมนุษย์ อันเป็นสิ่งมีชีวิตอีกรูปแบบหนึ่งที่อาศัยอยู่บนโลกใบนี้ คำว่าเติบโตและเบ่งบานจึงไม่เพียงแต่จะช่วยให้เผ่าพันธุ์ของเราดำรงอยู่ตลอดไป แต่ยังหมายถึงพลังของการรังสรรค์สิ่งใหม่ อันเกิดขึ้นจากจิตรู้สำนึกของความสง่างามและเป็นของแท้ที่เกิดขึ้นจากภายในของเหล่ามวลมนุษยชาตินั่นเอง
Source: A SOL Resource : Learning for Sustainability
บริษัท เดอะ ทรี เวิลด์ส ครีเอเตอร์ จำกัด
LINE ID : the3worldscreator
Facebook : www.facebook.com/the3worldscreator
Tel. 093-2459985, 02-5309150
Fax. 02-5309156
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ผู้คนทั่วโลกต่างตระหนักถึงภัยคุกคามและการเปลี่ยนแปลงของวิถีชีวิตที่มีความทันสมัยมากขึ้น คำว่า “ยั่งยืน” หรือ “Sustainability” จึงถูกนำมาใช้ในการพูดถึงการมีสุขภาวะที่ดีขึ้น หรือการมีวิถีชีวิตในเชิงบวกมากยิ่งขึ้น คำจำกัดความกว้างๆ ของคำว่า “ยั่งยืน” ที่ประกาศใช้โดยคณะกรรมาธิการโลกว่าด้วยสิ่งแวดล้อมและการพัฒนา ในบริบทของการเป็นเป้าหมายใหม่ของการพัฒนาเศรษฐกิจ จึงหมายถึง “การพัฒนาที่ตอบสนองต่อความต้องการของคนรุ่นปัจจุบัน โดยไม่ลดทอนความสามารถของคนรุ่นต่อไปในการสนองตอบต่อความต้องการของพวกเขาเอง”
สำหรับผู้นำภาคธุรกิจ คำว่า “ยั่งยืน” จึงเป็นรหัสคำที่นิยามถึงเป้าหมายและบรรทัดฐานในการทำงาน อันหมายถึงการเคลื่อนย้ายความคิดสู่การปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม ด้วยการดำเนินธุรกิจโดยไม่ทำลายสิ่งแวดล้อมและชุมชน มีโมเดลธุรกิจและการดำเนินงานขององค์กรที่มุ่งผลในการสร้างความมั่งคั่งที่บูรณาการไปสู่ความยั่งยืนอย่างแท้จริง โดยขยายไปสูหน่วยของชุมชมและระบบนิเวศที่มีขนาดใหญ่ขึ้น องค์กรหรือหน่วยธุรกิจจะกลายเป็นระบบที่ทุกภาคส่วนขององค์กรหรือหน่วยงานมีการเชื่อมต่อไปกับสิ่งแวดล้อมและธรรมชาติ มีความสำนึกรับผิดชอบต่อสังคม ครอบคลุมไปถึงการดูแลใส่ใจถึงผลกระทบจากการทำธุรกิจที่มีต่อสิ่งแวดล้อมและสังคมมากยิ่งขึ้น เป็นต้น
แม้จะปฏิเสธไม่ได้เลยว่าความท้าทายที่เรากำลังเผชิญอยู่นี้มีทั้งความยุ่งยากและซับซ้อน แต่สิ่งหนึ่งที่เราจะต้องเน้นย้ำให้เกิดผลในเชิงบวกคือ การใช้ความคิดสร้างสรรค์ของเราในการทำงานร่วมกับผู้อื่น โดยการร่วมมือกันในการรังสรรค์โลกที่เราภาคภูมิใจและส่งต่อให้ลูกหลานได้อยู่อาศัยต่อไป ความสามารถเป็นสิ่งที่อยู่ในตัวมนุษย์ เราเลือกที่จะพัฒนาและหมั่นใช้งานมันได้ มีผู้คนและองค์กรหลายๆ องค์กรที่กำลังลงมือทำงานในเรื่องนี้อยู่เฉกเช่นเดียวกัน เราจึงเน้นย้ำเรื่องบทบาทของภาคธุรกิจและองค์กรในเรื่องของการลดทอนความยั่งยืนและการสร้างความยั่งยืน เพราะเราเชื่อว่าภาคธุรกิจและองค์กรนั้น จะเป็นกุญแจสำคัญในการนำพาโลกใบนี้ไปสู่อนาคต และสิ่งนี้ต้องการความเป็นผู้นำที่กล้าหาญ มีความสามารถในการเรียนรู้อย่างลึกซึ้ง มีความสามารถในการเชื่อมโยงแก่นแท้ที่อยู่ “ภายใน” และ “ภายนอก” ได้ในที่นี้ได้หมายรวมถึงการเชื่อมต่อการเปลี่ยนแปลงที่เกิดภายใน ในส่วนของวิธีการในการบริหารจัดการและนำออกมาใช้กับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดจากปัจจัยภายนอกขององค์กรที่มีขนาดใหญ่ขึ้นด้วย หรือการเชื่อมต่อไปกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นภายในจิตใจและวิสัยทัศน์ส่วนบุคคลไปกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นภายนอกในการบริหารจัดการของวัฒนธรรม หรือการเชื่อมต่อแก่นแท้ภายในตัวเรา ในฐานะของมนุษย์และแสดงให้เห็นถึงวิธีการที่เราปฏิบัติและรับมือกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น
ดั่งคำกล่าวของปีเตอร์ ดรัคเกอร์ ที่กล่าวถึงจุดประสงค์ขององค์กรหรือผู้ประกอบการคือการทำให้คนธรรมดาสามารถทำสิ่งที่พิเศษขึ้นมาได้ เรื่องราวที่เราแบ่งปันนี้ จึงเกิดขึ้นเพื่อแสดงให้เห็นว่ามีผู้คนที่อยู่ในองค์กรที่อยู่ในภาคธุรกิจมากมายที่กำลังต่อสู้กับความท้าทายในการนิยามความยั่งยืนให้แก่องค์กรของตนเอง และกำลังทำงานเพื่อสร้างหลักการและเผยแพร่มุมมองด้านความยั่งยืนไปสู่การปฏิบัติมากขึ้น เราจำเป็นที่จะต้องร่วมมือกันในการสร้างสรรค์องค์กรที่มีชีวิตให้สอดคล้องไปกับสังคมและธรรมชาติของโลก จนบันดาลให้เกิดคำว่า “Breathe life into” ซึ่งก็คือ “การนำความคิดและขุมกำลังใส่ลงไปในการทำอะไรบางอย่างเพื่อการนำมาสู่สิ่งใหม่” โดยเป้าหมายของเราคือการสร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้นำการเปลี่ยนแปลงทั้งหลาย มีผู้นำการเปลี่ยนแปลงมากมายที่รับรู้ว่าความยั่งยืนเป็นเรื่องที่สำคัญ แต่ผู้ที่ศึกษาอย่างลึกซึ้งถึงความหมายที่แท้จริงของมัน และเข้าใจถึงการลงมือลงแรงอย่างหนักเท่านั้น จะช่วยให้บรรลุถึงการเปลี่ยนแปลงที่จำเป็นของความยั่งยืน เราจึงเชื่ออย่างแรงกล้าว่า การที่โลกจะก้าวผ่านจุดอันตรายของยุคปัจจุบันไปสู่ยุคใหม่แห่งการฟื้นฟูศิลปวิทยาการ การคิดเชิงระบบ หรือการเรียนรู้ในเรื่องอื่นๆ นั้นเป็นสิ่งที่สำคัญมาก มันไม่ได้เป็นเพียงแค่เครื่องมือของการคิดเชิงระบบ สุนทรียสนทนา การทำงานกับจิตใจ การเรียนรู้เพื่อเพิ่มความสามารถส่วนบุคคล หรือการสร้างวิสัยทัศน์ร่วมกัน แต่มันคือการทำงานที่ใหญ่ขึ้นของจิตใจที่เกี่ยวข้องกับทัศนคติ,ค่านิยมและการทำงานร่วมกันของผู้คน
แรงบันดาลใจอันเกิดจากเรื่องราวการทำงานของกลุ่ม SOL (The Society for Organizational Learning) อันเป็นกลุ่มชุมชนแห่งการเรียนรู้ที่มีความหลากหลาย มีทั้งองค์กรข้ามชาติขนาดใหญ่ และบริษัทขนาดกลางที่มาจากหลากหลายภาคอุตสาหกรรม นักเขียนบทความประจำสถาบัน Joe Laur และ Sara Schley ได้นำเสนอว่าบุคลากรและองค์กรนั้นสามารถใช้ศักยภาพและความสามารถของตนในด้านที่มีความสำคัญต่อการทำงานในเรื่องของความยั่งยืนได้ เช่น การทำความเข้าใจร่วมกันในระบบที่มีความสลับซับซ้อน การพัฒนาทักษะด้านการฟังและสุนทรียสนทนา การสร้างความสัมพันธ์ที่ไว้เนื้อเชื่อใจซึ่งกันและกันของเครือข่ายในการทำงาน รวมไปถึงการก่อตั้งกลุ่มความร่วมมือจากหลากหลายสถาบัน เป็นต้น ซึ่งการวาดภาพวิถีชีวิตสู่อนาคตในรูปแบบดังกล่าวจะต้องมีการลงมือทำจริง กลุ่มองค์กรและธุรกิจต่างๆต้องลงมือปฏิบัติกันอย่างจริงจัง เปลี่ยนแปลงวิสัยทัศน์การผลิตของตนเอง โดยลดการสร้างผลกระทบต่อสภาพแวดล้อม เปลี่ยนกระบวนการหรือรูปแบบธุรกิจที่มีการบูรณาการสู่ชุมชมและเอื้อต่อระบบนิเวศบนโลกใบใหญ่นี้มากขึ้น
องค์กรคือระบบที่มีชีวิต ที่ทุกองคาพยพมีการเชื่อมต่อไปกับธรรมชาติ และความยั่งยืนจะช่วยให้ทุกสิ่งมีชีวิตสามารถเติบโตและเบ่งบานได้ตลอดไป ในมุมของมนุษย์ อันเป็นสิ่งมีชีวิตอีกรูปแบบหนึ่งที่อาศัยอยู่บนโลกใบนี้ คำว่าเติบโตและเบ่งบานจึงไม่เพียงแต่จะช่วยให้เผ่าพันธุ์ของเราดำรงอยู่ตลอดไป แต่ยังหมายถึงพลังของการรังสรรค์สิ่งใหม่ อันเกิดขึ้นจากจิตรู้สำนึกของความสง่างามและเป็นของแท้ที่เกิดขึ้นจากภายในของเหล่ามวลมนุษยชาตินั่นเอง
Source: A SOL Resource : Learning for Sustainability
บริษัท เดอะ ทรี เวิลด์ส ครีเอเตอร์ จำกัด
LINE ID : the3worldscreator
Facebook : www.facebook.com/the3worldscreator
Tel. 093-2459985, 02-5309150
Fax. 02-5309156