Inner Journey
ออสเตรเลีย...ของขวัญที่มีเรื่องเล่า (ตอนที่ 4)
เรามุ่งหน้าสู่ Uluru สิ่งมหัศจรรย์ของโลกใจกลางทวีปออสเตรเลีย ดินแดนแห่งทะเลทราย ตอนอยู่เมืองไทยแม่ลุ้นมากเพราะวีซ่าเข้าออสเตรเลียยังไม่ออก พ่อบอกว่ายังไม่ได้จองตั๋วเครื่องบินภายในประเทศที่บินตรงไป Uluru เพราะที่พักเต็มทุกที่
อุลูรู (Uluru) - เป็นหินศักดิ์สิทธิ์ของชาวอะบอริจิน หรือ อะนานู ซึ่งเป็นขนเผ่าพื้นเมืองของประเทศออสเตรเลีย โดยภูเขาแห่งนี้มีอายุมากว่า 40,000 ปี เพื่อนแม่เคยบอกว่าถ้ามีโอกาสควรมาเยือนสักครั้งในชีวิต แม่ตามอ่านที่หลังเลยรู้ว่าอุลูรูคือชื่อที่เป็นทางการของ Ayers Rock หรือหินแอร์ส แต่พวกเราเรียกทับศัพท์กันว่าแอร์สร็อก
ตอนนั่งอยู่บนเครื่องบินแม่โชคดีได้มองเห็นอุลูรูตั้งตระหง่านอยู่กลางทะเลทราย ตอนนั้นแม่กดชัตเตอร์มือถือแบบไม่ยั้งเพราะตื่นเต้นมาก ขอบคุณข้อมูลจากวิกิพีเดียที่ทำให้แม่รู้ว่าอุรูลูเป็นโขดหินขนาดใหญ่ที่โผล่จากพื้นดินที่มองเห็นได้ไกลกว่า 100 เมตร สูง 348 เมตร เส้นรอบวงที่ฐานวัดได้ 9 กิโลเมตร จัดเป็นโขดหินที่ใหญ่ที่สุดในโลก
แม่ตื่นเต้นมากที่ได้รู้ว่าโขดหินอุลูรูจริงๆ แล้วเป็นส่วนหนึ่งของยอดเขาที่จมอยู่ใต้ดินลึกลงไปถึง 6 กิโลเมตร อุลูรูเคยเป็นส่วนหนึ่งของพื้นมหาสมุทรเมื่อประมาณ 550 ล้านปีที่แล้วตรงใจกลางทวีปออสเตรเลีย ต่อมาน้ำในมหาสมุทรลดลง เปลือกโลกก็เคลื่อนตัวดันให้โขดหินโผล่ขึ้นมา
แม่แอบภาวนาในใจว่าขอให้ได้มาเยือนสิ่งมหัศจรรย์นี้สักครั้งในชีวิต เพราะในสมัยก่อนการเดินทางมาอุลูรูยากมาก ถนนหนทาง สนามบินและสิ่งอำนวยความสะดวกยังมาไม่ถึง ตอนปรางเล่าให้ฟังว่ามีกลุ่มนักท่องเที่ยวหายสายสูญและจบชีวิตกลางทะเลทรายโดยไม่รู้สาเหตุในสมัยก่อนเยอะมาก ยิ่งทำให้แม่รู้สึกถึงความพิเศษของอุลูรูมากขึ้น
3 วันก่อนบินเราเพิ่งได้วีซ่าและได้ข่าวดีจากพ่อว่าเราได้ที่พักและตั๋วเครื่องบินไปอุลูรูเรียบร้อยแล้วก่อนบินมาออสเตรเลียเพียงวันเดียว แม่มัวแต่ดีใจเลยไม่ได้ถามรายละเอียดอะไรจากพ่อ มารู้วันจะบินเลยว่าเราบินด้วยสายการบิน Jet Star บินไปสนามบินแห่งใหม่ที่อยู่ใกล้อุลูรูมากกว่าสนามบินเก่าเกือบ 400 กิโล
สนามบินที่นี่เล็กและเรียบง่ายมาก สิ่งที่โดดเด่นที่สุดคือหน้าจอ LCD ขนาดใหญ่เล่าประวัติความเป็นมาและขนบธรรมเนียมประเพณีที่ชนเผ่าสืบต่อกันมา เรากำลังมาเยือนสถานที่ซึ่งผืนดินและความทรงจำดำรงอยู่เป็นหนึ่งเดียวกัน อุลูรูคือชีวิต คือหัวใจของชาวอะบอริจินทุกคน หัวหน้าชนเผ่าขอร้องให้พวกเรานักท่องเที่ยวดูแลหัวใจของพวกเขาและดูแลอนาคตของอุลูรูให้ยังคงเป็นตำนานสืบไป
ระหว่างรอพ่อกับปัญญ์ไปติดต่อเรื่องรถเช่า แม่เห็นนักท่องเที่ยวที่มาส่วนใหญ่เป็นคนญี่ปุ่น คนที่มาส่วนใหญ่จะซื้อทัวร์มาล่วงหน้าพอเครื่องลงจะมีไกด์มารับที่สนามบิน แม่ไปเปิดดูโปรแกรมทัวร์ตอนถึงโรงแรมแล้วปลื้มปริ่มมาก เพราะมีทัวร์ขี่อูฐ ทัวร์ดูดาว ทัวร์วัฒนธรรม ทัวร์ขับรถบิ๊กไบท์ ทัวร์แบบครึ่งวันและเต็มวัน
ตอนเห็นโปรแกรมดูดาวที่มีอยู่เต็มฟ้าในแผ่นพับใจแม่ก็ปลิวตามเขาไปแล้ว ลูกคงไม่รู้ว่าทุกปีที่ครู Karl-Heinz มาเมืองไทยครูจะเล่าเรื่องทริปตั้งแคมป์กลางทะเลทรายว่ามันอัศจรรย์เพียงใดโดยเฉพาะช่วงดาวเต็มฟ้า ตอนฟังแม่ยังไม่อินเท่าตอนมาเห็นภาพถ่ายที่อยู่ในมือตอนนี้
แม่ไม่มีเวลาเล่าเรื่องประสบการณ์กลางทะเลทรายของครูแม่ให้ลูกฟัง แม่อยากมีประสบการณ์ไปนั่งดูดาวกับครอบครัวเราบ้างเพราะไหนๆ เรามาเยือนถึงถิ่นแล้ว ตอนปัญญ์บอกแม่ว่า “ไม่ต้องไปดูหรอกแม่ ถ้าฟ้ามืดมากๆ อยู่ที่รีสอร์ตก็มองเห็นดาวได้ เมืองไทยก็มีดาวเต็มฟ้าเดี๋ยวกลับไปแม่ก็ไปดูได้” พ่อเตือนแม่ว่าเรามีที่เที่ยวอีกหลายแห่ง ที่พ่อเลือกเช่ารถขับเองเพราะจะได้ไปเที่ยวหลายๆ ที่แบบอิสระ ไม่อย่างนั้นพ่อซื้อทัวร์มาตั้งแต่แรกแล้ว
ฟังพ่อ ฟังลูกพูดแล้วแม่ก็ถอย ถ้าเป็นเมื่อก่อนแม่มีงอนแน่นอนแต่ปีนี้แม่แก่แล้วไฟมอด คิดในใจว่าได้มาถึงอุลูรูก็เยี่ยมมากๆ แล้ว เรื่องทัวร์ดูดาวถ้ามีเวลาเดี๋ยวค่อยหาโอกาสชวนกันใหม่พรุ่งนี้ อากาศที่นี่แปรปรวนมากกลางวันร้อนได้ถึง 44 องศา กลางคืนอุณหภูมิลดฮวบลงไปเหลือ 15-18 องศา ร้านอาหาร ซุปเปอร์มาร์เก็ต รวมถึงที่จอดรถในโรงแรมปิดตอนสามทุ่ม กิจกรรมส่วนใหญ่จะอยู่ช่วงก่อนพระอาทิตย์ขึ้นและพระอาทิตย์ตก ถ้าแม่ยังดื้อจะดูดาวเราคงไม่ได้ไปไหน
อากาศครึ้มฟ้าครึ้มฝนตอนเราเตรียมตัวไปดูพระอาทิตย์ตกดินตอน 1 ทุ่มกว่า ฝนตั้งเค้ามืดทะมึนลมแรงตีปะทะหน้า เราเดินมาถึงล็อบบี้ยังไม่ทันได้ก้าวเท้าออกไปพายุทะเลทรายก็พัดอื้ออึงอยู่หน้าโรงแรม กระถางต้นไม้ถูกพายุพัดล้ม ต้นไม้ทุกต้นลู่ไปตามแรงลม ฝรั่งหลายคนรวมทั้งแม่เดินออกไปถ่ายรูปพายุด้วยความตื่นเต้น พนักงานโรงแรมตะโกนเรียกพวกเราให้กลับเข้ามา เพราะพายุทรายปลิวว่อนเต็มท้องฟ้าทำให้ฟ้ากลายเป็นสีเทาแดง
ตอนนั้นแม่เองก็ตกใจรีบถ่ายรูปแล้ววิ่งกลับเข้ามาพยายามถามเจ้าหน้าที่ว่าอันตรายมากไหม พายุจะอยู่นานหรือเปล่า เจ้าหน้าที่ก็ตอบแม่ไม่ได้ แม่เคยอ่านเจอว่าธรรมชาติของพายุจะอยู่ไม่นานเมื่อพัดจบแล้วจะจากไป แต่ในวินาทีนั้นการเลือกอยู่ในโรงแรมน่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด แต่นั่นคือเราจะพลาดชมพระอาทิตย์ตกดินที่อุลูรูลูแบบใกล้ๆ นักท่องเที่ยวกลุ่มใหญ่ติดพายุอยู่ในล็อบบี้เหมือนเรา
พายุลูกแรกค่อยๆ จางลง มีนักท่องเที่ยวหลายคนเริ่มขึ้นรถทัวร์ไปชมพระอาทิตย์ตกและดูดาวตามโปรแกรมทัวร์ที่ทุกคนซื้อไว้ พ่อหันมาบอกพวกเราว่า “ออกไปดีกว่านั่งรออยู่ที่นี่” ว่าแล้วพ่อก็เดินออกไปอย่างมุ่งมั่น พวกเราหันมามองหน้ากันแล้วตัดสินใจวิ่งตามพ่อออกไป โดยไม่รู้ว่าเรากำลังจะเจออะไร
แม่หันกลับไปมองโรงแรมเราอีกครั้งโชคดีที่ถ่ายรูปได้อีก 2-3 รูปก่อนขึ้นรถ ภาพที่เห็นตอนนี้แตกต่างกับตอนที่เรามาถึงราวกับไม่ใช่สถานที่เดียวกัน “มนุษย์กับธรรมชาติจะอยู่ร่วมกันอย่างไร” คำถามใหม่ที่ผุดขึ้นมาในใจแม่ แต่ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นข้างหน้าแม่คิดว่าเราพร้อมแล้วที่จะออกไปค้นหาคำตอบด้วยกัน
รักลูกค่ะ
แม่
23/1/63
บริษัท เดอะ ทรี เวิลด์ส ครีเอเตอร์ จำกัด
LINE ID : the3worldscreator
Facebook : www.facebook.com/the3worldscreator
Tel. 093-2459985, 02-5309150
Fax. 02-5309150
อุลูรู (Uluru) - เป็นหินศักดิ์สิทธิ์ของชาวอะบอริจิน หรือ อะนานู ซึ่งเป็นขนเผ่าพื้นเมืองของประเทศออสเตรเลีย โดยภูเขาแห่งนี้มีอายุมากว่า 40,000 ปี เพื่อนแม่เคยบอกว่าถ้ามีโอกาสควรมาเยือนสักครั้งในชีวิต แม่ตามอ่านที่หลังเลยรู้ว่าอุลูรูคือชื่อที่เป็นทางการของ Ayers Rock หรือหินแอร์ส แต่พวกเราเรียกทับศัพท์กันว่าแอร์สร็อก
ตอนนั่งอยู่บนเครื่องบินแม่โชคดีได้มองเห็นอุลูรูตั้งตระหง่านอยู่กลางทะเลทราย ตอนนั้นแม่กดชัตเตอร์มือถือแบบไม่ยั้งเพราะตื่นเต้นมาก ขอบคุณข้อมูลจากวิกิพีเดียที่ทำให้แม่รู้ว่าอุรูลูเป็นโขดหินขนาดใหญ่ที่โผล่จากพื้นดินที่มองเห็นได้ไกลกว่า 100 เมตร สูง 348 เมตร เส้นรอบวงที่ฐานวัดได้ 9 กิโลเมตร จัดเป็นโขดหินที่ใหญ่ที่สุดในโลก
แม่ตื่นเต้นมากที่ได้รู้ว่าโขดหินอุลูรูจริงๆ แล้วเป็นส่วนหนึ่งของยอดเขาที่จมอยู่ใต้ดินลึกลงไปถึง 6 กิโลเมตร อุลูรูเคยเป็นส่วนหนึ่งของพื้นมหาสมุทรเมื่อประมาณ 550 ล้านปีที่แล้วตรงใจกลางทวีปออสเตรเลีย ต่อมาน้ำในมหาสมุทรลดลง เปลือกโลกก็เคลื่อนตัวดันให้โขดหินโผล่ขึ้นมา
แม่แอบภาวนาในใจว่าขอให้ได้มาเยือนสิ่งมหัศจรรย์นี้สักครั้งในชีวิต เพราะในสมัยก่อนการเดินทางมาอุลูรูยากมาก ถนนหนทาง สนามบินและสิ่งอำนวยความสะดวกยังมาไม่ถึง ตอนปรางเล่าให้ฟังว่ามีกลุ่มนักท่องเที่ยวหายสายสูญและจบชีวิตกลางทะเลทรายโดยไม่รู้สาเหตุในสมัยก่อนเยอะมาก ยิ่งทำให้แม่รู้สึกถึงความพิเศษของอุลูรูมากขึ้น
3 วันก่อนบินเราเพิ่งได้วีซ่าและได้ข่าวดีจากพ่อว่าเราได้ที่พักและตั๋วเครื่องบินไปอุลูรูเรียบร้อยแล้วก่อนบินมาออสเตรเลียเพียงวันเดียว แม่มัวแต่ดีใจเลยไม่ได้ถามรายละเอียดอะไรจากพ่อ มารู้วันจะบินเลยว่าเราบินด้วยสายการบิน Jet Star บินไปสนามบินแห่งใหม่ที่อยู่ใกล้อุลูรูมากกว่าสนามบินเก่าเกือบ 400 กิโล
สนามบินที่นี่เล็กและเรียบง่ายมาก สิ่งที่โดดเด่นที่สุดคือหน้าจอ LCD ขนาดใหญ่เล่าประวัติความเป็นมาและขนบธรรมเนียมประเพณีที่ชนเผ่าสืบต่อกันมา เรากำลังมาเยือนสถานที่ซึ่งผืนดินและความทรงจำดำรงอยู่เป็นหนึ่งเดียวกัน อุลูรูคือชีวิต คือหัวใจของชาวอะบอริจินทุกคน หัวหน้าชนเผ่าขอร้องให้พวกเรานักท่องเที่ยวดูแลหัวใจของพวกเขาและดูแลอนาคตของอุลูรูให้ยังคงเป็นตำนานสืบไป
ระหว่างรอพ่อกับปัญญ์ไปติดต่อเรื่องรถเช่า แม่เห็นนักท่องเที่ยวที่มาส่วนใหญ่เป็นคนญี่ปุ่น คนที่มาส่วนใหญ่จะซื้อทัวร์มาล่วงหน้าพอเครื่องลงจะมีไกด์มารับที่สนามบิน แม่ไปเปิดดูโปรแกรมทัวร์ตอนถึงโรงแรมแล้วปลื้มปริ่มมาก เพราะมีทัวร์ขี่อูฐ ทัวร์ดูดาว ทัวร์วัฒนธรรม ทัวร์ขับรถบิ๊กไบท์ ทัวร์แบบครึ่งวันและเต็มวัน
ตอนเห็นโปรแกรมดูดาวที่มีอยู่เต็มฟ้าในแผ่นพับใจแม่ก็ปลิวตามเขาไปแล้ว ลูกคงไม่รู้ว่าทุกปีที่ครู Karl-Heinz มาเมืองไทยครูจะเล่าเรื่องทริปตั้งแคมป์กลางทะเลทรายว่ามันอัศจรรย์เพียงใดโดยเฉพาะช่วงดาวเต็มฟ้า ตอนฟังแม่ยังไม่อินเท่าตอนมาเห็นภาพถ่ายที่อยู่ในมือตอนนี้
แม่ไม่มีเวลาเล่าเรื่องประสบการณ์กลางทะเลทรายของครูแม่ให้ลูกฟัง แม่อยากมีประสบการณ์ไปนั่งดูดาวกับครอบครัวเราบ้างเพราะไหนๆ เรามาเยือนถึงถิ่นแล้ว ตอนปัญญ์บอกแม่ว่า “ไม่ต้องไปดูหรอกแม่ ถ้าฟ้ามืดมากๆ อยู่ที่รีสอร์ตก็มองเห็นดาวได้ เมืองไทยก็มีดาวเต็มฟ้าเดี๋ยวกลับไปแม่ก็ไปดูได้” พ่อเตือนแม่ว่าเรามีที่เที่ยวอีกหลายแห่ง ที่พ่อเลือกเช่ารถขับเองเพราะจะได้ไปเที่ยวหลายๆ ที่แบบอิสระ ไม่อย่างนั้นพ่อซื้อทัวร์มาตั้งแต่แรกแล้ว
ฟังพ่อ ฟังลูกพูดแล้วแม่ก็ถอย ถ้าเป็นเมื่อก่อนแม่มีงอนแน่นอนแต่ปีนี้แม่แก่แล้วไฟมอด คิดในใจว่าได้มาถึงอุลูรูก็เยี่ยมมากๆ แล้ว เรื่องทัวร์ดูดาวถ้ามีเวลาเดี๋ยวค่อยหาโอกาสชวนกันใหม่พรุ่งนี้ อากาศที่นี่แปรปรวนมากกลางวันร้อนได้ถึง 44 องศา กลางคืนอุณหภูมิลดฮวบลงไปเหลือ 15-18 องศา ร้านอาหาร ซุปเปอร์มาร์เก็ต รวมถึงที่จอดรถในโรงแรมปิดตอนสามทุ่ม กิจกรรมส่วนใหญ่จะอยู่ช่วงก่อนพระอาทิตย์ขึ้นและพระอาทิตย์ตก ถ้าแม่ยังดื้อจะดูดาวเราคงไม่ได้ไปไหน
อากาศครึ้มฟ้าครึ้มฝนตอนเราเตรียมตัวไปดูพระอาทิตย์ตกดินตอน 1 ทุ่มกว่า ฝนตั้งเค้ามืดทะมึนลมแรงตีปะทะหน้า เราเดินมาถึงล็อบบี้ยังไม่ทันได้ก้าวเท้าออกไปพายุทะเลทรายก็พัดอื้ออึงอยู่หน้าโรงแรม กระถางต้นไม้ถูกพายุพัดล้ม ต้นไม้ทุกต้นลู่ไปตามแรงลม ฝรั่งหลายคนรวมทั้งแม่เดินออกไปถ่ายรูปพายุด้วยความตื่นเต้น พนักงานโรงแรมตะโกนเรียกพวกเราให้กลับเข้ามา เพราะพายุทรายปลิวว่อนเต็มท้องฟ้าทำให้ฟ้ากลายเป็นสีเทาแดง
ตอนนั้นแม่เองก็ตกใจรีบถ่ายรูปแล้ววิ่งกลับเข้ามาพยายามถามเจ้าหน้าที่ว่าอันตรายมากไหม พายุจะอยู่นานหรือเปล่า เจ้าหน้าที่ก็ตอบแม่ไม่ได้ แม่เคยอ่านเจอว่าธรรมชาติของพายุจะอยู่ไม่นานเมื่อพัดจบแล้วจะจากไป แต่ในวินาทีนั้นการเลือกอยู่ในโรงแรมน่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด แต่นั่นคือเราจะพลาดชมพระอาทิตย์ตกดินที่อุลูรูลูแบบใกล้ๆ นักท่องเที่ยวกลุ่มใหญ่ติดพายุอยู่ในล็อบบี้เหมือนเรา
พายุลูกแรกค่อยๆ จางลง มีนักท่องเที่ยวหลายคนเริ่มขึ้นรถทัวร์ไปชมพระอาทิตย์ตกและดูดาวตามโปรแกรมทัวร์ที่ทุกคนซื้อไว้ พ่อหันมาบอกพวกเราว่า “ออกไปดีกว่านั่งรออยู่ที่นี่” ว่าแล้วพ่อก็เดินออกไปอย่างมุ่งมั่น พวกเราหันมามองหน้ากันแล้วตัดสินใจวิ่งตามพ่อออกไป โดยไม่รู้ว่าเรากำลังจะเจออะไร
แม่หันกลับไปมองโรงแรมเราอีกครั้งโชคดีที่ถ่ายรูปได้อีก 2-3 รูปก่อนขึ้นรถ ภาพที่เห็นตอนนี้แตกต่างกับตอนที่เรามาถึงราวกับไม่ใช่สถานที่เดียวกัน “มนุษย์กับธรรมชาติจะอยู่ร่วมกันอย่างไร” คำถามใหม่ที่ผุดขึ้นมาในใจแม่ แต่ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นข้างหน้าแม่คิดว่าเราพร้อมแล้วที่จะออกไปค้นหาคำตอบด้วยกัน
รักลูกค่ะ
แม่
23/1/63
บริษัท เดอะ ทรี เวิลด์ส ครีเอเตอร์ จำกัด
LINE ID : the3worldscreator
Facebook : www.facebook.com/the3worldscreator
Tel. 093-2459985, 02-5309150
Fax. 02-5309150