Inner Journey
Nutrition อาหารเพื่อลูกหลานในอนาคต(ตอนที่ 3)
พี่กลับไปอ่านหนังสือหลายเล่มเพื่อค้นหาคำตอบบางอย่างที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังสิ่งที่อาจารย์ฝากไว้ก่อนจบว่า “สาระสำคัญของอาหารคือการกินเพื่อให้เติบโตทางจิตวิญญาณและการอุทิศตน มันไม่สำคัญว่าเราต้องเลือกกินเกลือจากแหล่งพิเศษหรือกินอาหารชั้นเลิศเพียงใด ถ้าเรากินแล้วความคิดเราคับแคบลง มองเพียงผลประโยชน์ส่วนตน การกินนั้นก็ไร้ความหมาย”
ตอนเรียนเรื่องไต อาจารย์แนะนำพวกเราว่าถ้าเรามีคนไข้ที่เคยมีนิสัยเอื้อเฟื้อและมีน้ำใจต่อผู้อื่น แต่เปลี่ยนไปเป็นคนที่คิดถึงแต่เรื่องของตัวเองและเอาแต่ใจตนเองเป็นหลัก ควรพิจารณาว่าคนไข้อาจจะเป็นโรคไตพร่อง (ไตเสื่อม) ได้
ดังนั้น การบำรุงรักษาไตจึงเป็นเรื่องที่ควรกระทำ โดยการแช่ตัวในน้ำอุ่น แนะนำให้คนไข้ปรับเปลี่ยนอาหารโดยลดอาหารประเภทโปรตีนลง เวลาทานอาหารให้แยกโปรตีนกับคาร์โบไฮเดรตออกจากกัน (ทานห่างกัน 5 ชั่วโมง) อาหารหลักในมื้อที่เป็นโปรตีนหรือคาร์โบไฮเดรตควรจะเป็นธัญพืชและผักที่เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังชีวิตเพื่อการเยียวยาทั้งร่างกายและจิตใจ
เมื่อตามมาค้นคว้าเพิ่มเติม พี่เห็นความเชื่อมโยงของความหมายที่ลึกซึ้งบางอย่างของสิ่งที่เรากิน เพราะโภชนาการไม่ได้เป็นเพียงสารทางชีวภาพเท่านั้น แต่ยังเป็นสสารทางจิตวิญญาณด้วย
เมื่อราว 2,000 กว่าปีก่อนกระบวนการที่จิตวิญญาณหรือดวงจิตหลอมรวมกับร่างกายทางกายภาพเรียกว่า “การจุติลงมา” (Incarnation) ซึ่งหมายถึง “การเข้ามาอยู่ในเนื้อ” (ในภาษาสเปน Carne หมายถึง เนื้อ)
ในตำราสำหรับมวลชนในภาษาลาติน มีข้อความระบุไว้อย่างชัดเจนว่า “สิ่งนี้คืออำนาจของจิตวิญญาณ” (et incarnates est.) โดยผู้คนในสมัยนั้นได้ตระหนักรู้อย่างมากว่ามนุษย์อาศัยอยู่ในร่างกายที่มีเลือดเนื้อและเหนือไปกว่านั้นคือจิตวิญญาณอาศัยอยู่ในหัวใจของมนุษย์
การรับประทานอาหารเพียงเพื่อความเพลิดเพลินหรือสิ่งที่มักจะบริโภคกันในวาระของเทศกาลอย่างเดียวตลอดเวลานั้น ไม่เพียงแต่จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางจิตใจเท่านั้น แต่จะยังนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางชีวภาพในร่างกายด้วย
ขนมปังไม่ได้หล่อเลี้ยงชีวิตเรา
สิ่งที่หล่อเลี้ยงชีวิตอยู่ในขนมปัง
คือแสงแห่งนิรันดร์จากพระเจ้า
คือชีวิต, และคือจิตวิญญาณ
แองเจลุส เซเลซิอุส
1624-1677
คำกล่าวของ แองเจลุส เซเลซิอุส ได้บอกว่า ขนมปังไม่ใช่สิ่งที่หล่อเลี้ยงพวกเรา แต่เป็นแสงสว่างของพระผู้เป็นเจ้าและจิตวิญญาณ หมายถึงสสารต่างๆ เป็นพาหะสื่อนำพาของพลังชีวิต
อ่านหนังสือ “What Are We Really Eating?” จบพี่กลับไปค้นหนังสือเรื่องต้นกำเนิดของแสงจากหนังสือ “ไล่คว้าแสง” พี่อ่านเจอเรื่องราวของสุริยเทพที่ถูกบันทึกไว้ ณ ดินแดนอียิปต์โบราณ ดังนี้
“...ในดินแดนอียิปต์โบราณไม่มีสัญลักษณ์ใดจะมีความสำคัญมากไปกว่าดวงเนตรแห่งสุริยเทพ “รา” พระเนตรของพระองค์ (ซึ่งก็คือดวงอาทิตย์) มีพลังสร้างสรรค์ การมองเห็นของพระองค์ก็คือชีวิตนั่นเอง กล่าวกันว่ามนุษยชาติถือกำเนิดขึ้นจากน้ำพระเนตรของพระองค์ ในภาษาอียิปต์ คำว่า “น้ำตา” และคำว่า “มนุษย์” ออกเสียงเหมือนกัน
คนอียิปต์เข้าใจธรรมชาติของแสงเป็นอย่างดี ดังจารึกที่พระเขียนไว้เมื่อสามพันสามร้อยปีมาแล้ว เมื่อสุริยเทพรา “ลืมตา...จึงมีแสงสว่าง เมื่อดวงเนตรของข้าปิดลง ความมืดก็เข้ามาปกคลุม” สายตาที่จ้องมองออกมาของสุริยเทพคือแสงแห่งกลางวัน สำหรับผู้คนในอารยธรรมนั้น การได้ยืนอยู่ท่ามกลางแสงแดดคือการได้อยู่ในสายตาแห่งสุริยเทพ พลังแห่งการมองเห็นที่ส่องโลกทั้งโลกให้สว่างไสวเป็นพลังสากลที่แผ่ออกไปอย่างไพศาล และเป็นความสว่างไสวแห่งเวลากลางวัน สายตาที่จ้องมองของเทพคือแสงสว่าง แสงคือเทพที่กำลังจ้องมองอยู่
คำตอบที่เก่าแก่ที่สุดของคำถามที่ว่าธรรมชาติของแสงเป็นเช่นไร? มันคือสายตาของเทพ มนุษยชาติซึ่งถูกเสกสรรขึ้นมาจากน้ำตาของเทพรา (หรือเกิดจากสายตาของเทพ) ยังมีธรรมชาติของเทพเจืออยู่บ้าง เหมือนเทพกำมะลอทำนองนั้น ครั้นถึงยุคสมัยของนักปรัชญากรีก มนุษย์เราก็เป็นดั่งเทพที่ส่องโลกให้สว่างไสวด้วยสายตาของเราเอง สายตาแห่งสุริยเทพราจุดจักรวาลให้สว่างไสว ส่วนสายตาของมนุษย์ก็จุดโลกส่วนตัวให้เจิดจ้า...”
เรื่องราวของแสงกับดวงอาทิตย์ยังถูกบันทึกไว้ในหนังสือแมคโครไบโอติกในบทที่กล่าวถึงว่า “อาหารคือผลึกแห่งความรักของธรรมชาติ” ไว้น่าฟังว่า
“...ที่สำคัญอีกเรื่องหนึ่งในการผลิตนั้น แน่นอนว่าไม่ใช่ขึ้นอยู่กับเกษตรกรเป็นผู้ผลิตอย่างเดียว นอกเหนือกว่านั้นก็คือ “ธรรมชาติ” เราเคยคิดไหมว่าแสงแดดหรือ ดวงอาทิตย์ ให้ความปรานีต่อมนุษย์ลองพิจารณาดูว่าถ้าปราศจากแสงอาทิตย์ โลกก็จะกลายเป็นน้ำแข็ง ดังนั้น ดวงอาทิตย์จึงให้คุณประโยชน์ต่อโลกเรามากมายมหาศาล
ความยอดเยี่ยมของดวงอาทิตย์จะไม่เลือกที่รักมักที่ชัง หมายความว่า ไม่ว่าจะมีคนชั่ว คนไม่ดีอยู่ในโลก ดวงอาทิตย์ก็ยังให้แสงสว่าง ให้ความร้อนกับทุกคน ไม่ว่าจะเป็นชนชาติใดก็ตาม จะเป็นคนผิวดำ หรือคนที่เกิดมายากจน ดวงอาทิตย์ก็จะให้แสงสว่างและความอบอุ่นกับทุกคน ดวงอาทิตย์ไม่ได้เรียกร้องอะไรกับมนุษย์ มีแต่ให้อย่างเดียว
จักรวาลให้ความรักต่อมนุษย์อย่างไม่มีเงื่อนไข คือให้โดยปราศจากเงื่อนไขและปราศจากการเรียกร้องใด ๆ แถมยังไม่มีการวิพากษ์วิจารณ์มนุษย์อีกด้วย เมื่อเรารับประทานพืชผักที่เจริญเติบโตด้วยแสงอาทิตย์ ก็จะได้คุณลักษณะเช่นเดียวกับแสงอาทิตย์ คือให้ความรักผู้อื่นโดยปราศจากเงื่อนไขใด ๆ
อาหารต่าง ๆที่เรารับประทาน ก็คือผลึกแห่งความรักจากธรรมชาตินั่นเอง มนุษย์เราไม่ได้อยู่ด้วยพลังงานที่มาจากอาหารอย่างเดียว แต่อยู่ได้ด้วยพลังชีวิตที่ได้จากอาหารซึ่งถือว่าเป็นอาหารทางจิตวิญญาณ จึงอยากให้เราเลือกสรรอาหารที่มีองค์ประกอบดังกล่าวนี้ ไม่ใช่ดูเฉพาะว่าอาหารนี้ได้พลังงานเท่าไหร่ แต่ดูว่าอาหารนี้เป็นอาหารที่จะหล่อเลี้ยงจิตวิญญาณของเราได้หรือเปล่าด้วย....”
อ่านหนังสือ 3 เล่มนี้จบ พี่รู้สึกว่าตัวเองโชคดีมากที่ได้กลับมาเรียนเรื่องนี้อีกครั้งในวันที่เข้าใจธรรมชาติของชีวิตมากขึ้น ผลของโภชนาการไม่ใช่เรื่องที่ผิวเผินสำหรับพี่อีกต่อไป พี่ได้ค้นพบความลับของอาหารที่เกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ของมนุษย์ที่มีต่อโลกใบนี้ อาจสรุปได้ว่าอาหารเป็นสะพานเชื่อมมนุษย์ต่อร่างกายตนเอง ต่อโลกและต่อจิตวิญญาณ
ขอจบบทความพิเศษด้วยบทกวีที่ประพันธ์โดยเล่าจื่อ ที่อ่านกี่ครั้งก็ยังคงซาบซึ้งหัวใจอยู่ทุกครา
ใช้แสงในตนเองให้เป็นประโยชน์
การมองทะลุเข้าไปในความมืดคือความกระจ่างชัด
การรู้จักที่จะอ่อนข้อคือความแข็งแกร่ง
จงใช้แสงในตัวเธอให้เป็นประโยชน์
และกลับคืนสู่ต้นกำเนิดแห่งแสง
เช่นนี้จึงเรียกว่าเธอปฏิบัติเพื่อเข้าถึงความเป็นนิรันดร์
-เล่าจื่อ-
ขอน้อมคารวะแด่หัวใจที่เปี่ยมแสงทุกดวงค่ะ
พี่ณี
10/10/61
บริษัท เดอะ ทรี เวิลด์ส ครีเอเตอร์ จำกัด
LINE ID : the3worldscreator
Facebook : www.facebook.com/the3worldscreator
Tel. 093-2459985, 02-5309150
Fax. 02-5309150
ตอนเรียนเรื่องไต อาจารย์แนะนำพวกเราว่าถ้าเรามีคนไข้ที่เคยมีนิสัยเอื้อเฟื้อและมีน้ำใจต่อผู้อื่น แต่เปลี่ยนไปเป็นคนที่คิดถึงแต่เรื่องของตัวเองและเอาแต่ใจตนเองเป็นหลัก ควรพิจารณาว่าคนไข้อาจจะเป็นโรคไตพร่อง (ไตเสื่อม) ได้
ดังนั้น การบำรุงรักษาไตจึงเป็นเรื่องที่ควรกระทำ โดยการแช่ตัวในน้ำอุ่น แนะนำให้คนไข้ปรับเปลี่ยนอาหารโดยลดอาหารประเภทโปรตีนลง เวลาทานอาหารให้แยกโปรตีนกับคาร์โบไฮเดรตออกจากกัน (ทานห่างกัน 5 ชั่วโมง) อาหารหลักในมื้อที่เป็นโปรตีนหรือคาร์โบไฮเดรตควรจะเป็นธัญพืชและผักที่เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังชีวิตเพื่อการเยียวยาทั้งร่างกายและจิตใจ
เมื่อตามมาค้นคว้าเพิ่มเติม พี่เห็นความเชื่อมโยงของความหมายที่ลึกซึ้งบางอย่างของสิ่งที่เรากิน เพราะโภชนาการไม่ได้เป็นเพียงสารทางชีวภาพเท่านั้น แต่ยังเป็นสสารทางจิตวิญญาณด้วย
เมื่อราว 2,000 กว่าปีก่อนกระบวนการที่จิตวิญญาณหรือดวงจิตหลอมรวมกับร่างกายทางกายภาพเรียกว่า “การจุติลงมา” (Incarnation) ซึ่งหมายถึง “การเข้ามาอยู่ในเนื้อ” (ในภาษาสเปน Carne หมายถึง เนื้อ)
ในตำราสำหรับมวลชนในภาษาลาติน มีข้อความระบุไว้อย่างชัดเจนว่า “สิ่งนี้คืออำนาจของจิตวิญญาณ” (et incarnates est.) โดยผู้คนในสมัยนั้นได้ตระหนักรู้อย่างมากว่ามนุษย์อาศัยอยู่ในร่างกายที่มีเลือดเนื้อและเหนือไปกว่านั้นคือจิตวิญญาณอาศัยอยู่ในหัวใจของมนุษย์
การรับประทานอาหารเพียงเพื่อความเพลิดเพลินหรือสิ่งที่มักจะบริโภคกันในวาระของเทศกาลอย่างเดียวตลอดเวลานั้น ไม่เพียงแต่จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางจิตใจเท่านั้น แต่จะยังนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางชีวภาพในร่างกายด้วย
ขนมปังไม่ได้หล่อเลี้ยงชีวิตเรา
สิ่งที่หล่อเลี้ยงชีวิตอยู่ในขนมปัง
คือแสงแห่งนิรันดร์จากพระเจ้า
คือชีวิต, และคือจิตวิญญาณ
แองเจลุส เซเลซิอุส
1624-1677
คำกล่าวของ แองเจลุส เซเลซิอุส ได้บอกว่า ขนมปังไม่ใช่สิ่งที่หล่อเลี้ยงพวกเรา แต่เป็นแสงสว่างของพระผู้เป็นเจ้าและจิตวิญญาณ หมายถึงสสารต่างๆ เป็นพาหะสื่อนำพาของพลังชีวิต
อ่านหนังสือ “What Are We Really Eating?” จบพี่กลับไปค้นหนังสือเรื่องต้นกำเนิดของแสงจากหนังสือ “ไล่คว้าแสง” พี่อ่านเจอเรื่องราวของสุริยเทพที่ถูกบันทึกไว้ ณ ดินแดนอียิปต์โบราณ ดังนี้
“...ในดินแดนอียิปต์โบราณไม่มีสัญลักษณ์ใดจะมีความสำคัญมากไปกว่าดวงเนตรแห่งสุริยเทพ “รา” พระเนตรของพระองค์ (ซึ่งก็คือดวงอาทิตย์) มีพลังสร้างสรรค์ การมองเห็นของพระองค์ก็คือชีวิตนั่นเอง กล่าวกันว่ามนุษยชาติถือกำเนิดขึ้นจากน้ำพระเนตรของพระองค์ ในภาษาอียิปต์ คำว่า “น้ำตา” และคำว่า “มนุษย์” ออกเสียงเหมือนกัน
คนอียิปต์เข้าใจธรรมชาติของแสงเป็นอย่างดี ดังจารึกที่พระเขียนไว้เมื่อสามพันสามร้อยปีมาแล้ว เมื่อสุริยเทพรา “ลืมตา...จึงมีแสงสว่าง เมื่อดวงเนตรของข้าปิดลง ความมืดก็เข้ามาปกคลุม” สายตาที่จ้องมองออกมาของสุริยเทพคือแสงแห่งกลางวัน สำหรับผู้คนในอารยธรรมนั้น การได้ยืนอยู่ท่ามกลางแสงแดดคือการได้อยู่ในสายตาแห่งสุริยเทพ พลังแห่งการมองเห็นที่ส่องโลกทั้งโลกให้สว่างไสวเป็นพลังสากลที่แผ่ออกไปอย่างไพศาล และเป็นความสว่างไสวแห่งเวลากลางวัน สายตาที่จ้องมองของเทพคือแสงสว่าง แสงคือเทพที่กำลังจ้องมองอยู่
คำตอบที่เก่าแก่ที่สุดของคำถามที่ว่าธรรมชาติของแสงเป็นเช่นไร? มันคือสายตาของเทพ มนุษยชาติซึ่งถูกเสกสรรขึ้นมาจากน้ำตาของเทพรา (หรือเกิดจากสายตาของเทพ) ยังมีธรรมชาติของเทพเจืออยู่บ้าง เหมือนเทพกำมะลอทำนองนั้น ครั้นถึงยุคสมัยของนักปรัชญากรีก มนุษย์เราก็เป็นดั่งเทพที่ส่องโลกให้สว่างไสวด้วยสายตาของเราเอง สายตาแห่งสุริยเทพราจุดจักรวาลให้สว่างไสว ส่วนสายตาของมนุษย์ก็จุดโลกส่วนตัวให้เจิดจ้า...”
เรื่องราวของแสงกับดวงอาทิตย์ยังถูกบันทึกไว้ในหนังสือแมคโครไบโอติกในบทที่กล่าวถึงว่า “อาหารคือผลึกแห่งความรักของธรรมชาติ” ไว้น่าฟังว่า
“...ที่สำคัญอีกเรื่องหนึ่งในการผลิตนั้น แน่นอนว่าไม่ใช่ขึ้นอยู่กับเกษตรกรเป็นผู้ผลิตอย่างเดียว นอกเหนือกว่านั้นก็คือ “ธรรมชาติ” เราเคยคิดไหมว่าแสงแดดหรือ ดวงอาทิตย์ ให้ความปรานีต่อมนุษย์ลองพิจารณาดูว่าถ้าปราศจากแสงอาทิตย์ โลกก็จะกลายเป็นน้ำแข็ง ดังนั้น ดวงอาทิตย์จึงให้คุณประโยชน์ต่อโลกเรามากมายมหาศาล
ความยอดเยี่ยมของดวงอาทิตย์จะไม่เลือกที่รักมักที่ชัง หมายความว่า ไม่ว่าจะมีคนชั่ว คนไม่ดีอยู่ในโลก ดวงอาทิตย์ก็ยังให้แสงสว่าง ให้ความร้อนกับทุกคน ไม่ว่าจะเป็นชนชาติใดก็ตาม จะเป็นคนผิวดำ หรือคนที่เกิดมายากจน ดวงอาทิตย์ก็จะให้แสงสว่างและความอบอุ่นกับทุกคน ดวงอาทิตย์ไม่ได้เรียกร้องอะไรกับมนุษย์ มีแต่ให้อย่างเดียว
จักรวาลให้ความรักต่อมนุษย์อย่างไม่มีเงื่อนไข คือให้โดยปราศจากเงื่อนไขและปราศจากการเรียกร้องใด ๆ แถมยังไม่มีการวิพากษ์วิจารณ์มนุษย์อีกด้วย เมื่อเรารับประทานพืชผักที่เจริญเติบโตด้วยแสงอาทิตย์ ก็จะได้คุณลักษณะเช่นเดียวกับแสงอาทิตย์ คือให้ความรักผู้อื่นโดยปราศจากเงื่อนไขใด ๆ
อาหารต่าง ๆที่เรารับประทาน ก็คือผลึกแห่งความรักจากธรรมชาตินั่นเอง มนุษย์เราไม่ได้อยู่ด้วยพลังงานที่มาจากอาหารอย่างเดียว แต่อยู่ได้ด้วยพลังชีวิตที่ได้จากอาหารซึ่งถือว่าเป็นอาหารทางจิตวิญญาณ จึงอยากให้เราเลือกสรรอาหารที่มีองค์ประกอบดังกล่าวนี้ ไม่ใช่ดูเฉพาะว่าอาหารนี้ได้พลังงานเท่าไหร่ แต่ดูว่าอาหารนี้เป็นอาหารที่จะหล่อเลี้ยงจิตวิญญาณของเราได้หรือเปล่าด้วย....”
อ่านหนังสือ 3 เล่มนี้จบ พี่รู้สึกว่าตัวเองโชคดีมากที่ได้กลับมาเรียนเรื่องนี้อีกครั้งในวันที่เข้าใจธรรมชาติของชีวิตมากขึ้น ผลของโภชนาการไม่ใช่เรื่องที่ผิวเผินสำหรับพี่อีกต่อไป พี่ได้ค้นพบความลับของอาหารที่เกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ของมนุษย์ที่มีต่อโลกใบนี้ อาจสรุปได้ว่าอาหารเป็นสะพานเชื่อมมนุษย์ต่อร่างกายตนเอง ต่อโลกและต่อจิตวิญญาณ
ขอจบบทความพิเศษด้วยบทกวีที่ประพันธ์โดยเล่าจื่อ ที่อ่านกี่ครั้งก็ยังคงซาบซึ้งหัวใจอยู่ทุกครา
ใช้แสงในตนเองให้เป็นประโยชน์
การมองทะลุเข้าไปในความมืดคือความกระจ่างชัด
การรู้จักที่จะอ่อนข้อคือความแข็งแกร่ง
จงใช้แสงในตัวเธอให้เป็นประโยชน์
และกลับคืนสู่ต้นกำเนิดแห่งแสง
เช่นนี้จึงเรียกว่าเธอปฏิบัติเพื่อเข้าถึงความเป็นนิรันดร์
-เล่าจื่อ-
ขอน้อมคารวะแด่หัวใจที่เปี่ยมแสงทุกดวงค่ะ
พี่ณี
10/10/61
บริษัท เดอะ ทรี เวิลด์ส ครีเอเตอร์ จำกัด
LINE ID : the3worldscreator
Facebook : www.facebook.com/the3worldscreator
Tel. 093-2459985, 02-5309150
Fax. 02-5309150