Inner Journey
เมืองต้องไป....ฮอกไกโด (ตอนที่4)
วันนี้ทุกคนตื่นเช้าขึ้นกว่าเมื่อวานเพื่อไปเที่ยวอุทยานแห่งชาติไดเซ็ตสึซัง อุทยานขนาดใหญ่ที่สุดบนเกาะฮอกไกโด อุทานยานแห่งนี้เป็นที่ตั้งของ Asahidake ยอดเขาที่สูงสุดในฮอกไกโด เป้าหมายคือการเดินป่าเพื่อชมธรรมชาติรอบวนอุทยาน
คำนวณจากเวลา เราจะใช้เวลาเดินทาง 3 ชั่วโมงเหมือนทุกวัน วันนี้เรามีแผนเที่ยวเพียงที่เดียวเพราะปรางจองบุฟเฟต์ขาปูยักษ์ร้านดังที่อยู่แถวโรงแรมไว้ตอน 1 ทุ่ม
ดูจากแผนแล้วทุกอย่างน่าจะผ่านฉลุย เราไปถึงที่อุทยานตอนบ่ายโมงกว่าหลังแวะกินอาหารเบาๆ รองท้อง เพราะคืนนี้ต้องกินบุฟเฟต์มื้อใหญ่ พี่คาดว่าเราคงเดินป่ากันประมาณ 1 ชั่วโมง ออกจากที่นี่ประมาณบ่ายสามโมงนิดๆ เราก็สามารถไปถึงร้านได้สบายๆ ไม่เหนื่อยมาก
วันนี้มีนักท่องเที่ยวมาเที่ยวกันไม่เยอะ บันไดทางขึ้นมีตัวอักษรเขียนต้อนรับหลายภาษา และแน่นอนที่ต้องมีภาษาไทยของเราด้วย เรานั่งกระเช้าขึ้นไปด้านบน วิวสองข้างทางสวยมาก เห็นภูเขาโดยรอบแบบพาโนรามา ยิ่งสูงขึ้นไปยิ่งเห็นกองหิมะสีขาวตัดกับต้นไม้สีเขียวสด
หลังฟังเจ้าหน้าที่แนะนำจุดชมวิวและความหลายทางธรรมชาติที่เราสามารถเดินชมได้ทั้งรอบใหญ่และรอบเล็ก ทุกคนรู้สึกตื่นเต้นกับการได้มาเยือนสถานที่ซึ่งได้รับการขนานนามว่าเป็น “สวนของพระเจ้า” แห่งนี้มาก
อากาศข้างนอกเย็นสบาย มีหิมะที่ยังละลายไม่หมดเป็นช่วงๆ พวกเรายังเดินเกาะกลุ่มถ่ายรูปกันในช่วงแรก ช่วงหลังเหลือกันสองแค่สองคนตายายเพราะลูกๆ ล่วงหน้าไปก่อน เรานัดกันว่าถ้าหลงทางเราจะกลับมารอกันตรงประตูทางเข้า
เราเดินมาถึงทางแยกที่ต้องตัดสินใจว่าจะปีนขึ้นไปดูจุดชมวิวแห่งแรกบนเนินเขาที่ต้องปีนหน้าผาก้อนหินขึ้นไป เด็กๆ กวักมือเรียกแต่พี่โบ้ยใบ้ว่าจะเดินตามเสียงกระหึ่มที่ดังก้องอยู่ทั่วบริเวณแห่งนี้ เมื่อเดินลึกเข้าไปพี่ถึงกับตกตะลึงกับความงดงามตรงหน้า ฉากหลังคือภูเขาไฟที่ยังคุกรุ่น มีควันขาวพวยพุ่งออกมา ตัดกับฉากหน้าเขียวขจีที่มีดอกไม้ป่าเบ่งบานชูช่อสวย
อันที่จริงเราตกลงกันว่าจะไม่แยกกันเดิน พี่สมบูรณ์ถอดรหัสบทเรียนจากตอนไปเกาหลีช่วงที่เราพลัดหลงกัน และวิเคราะห์ว่าสาเหตุน่าจะเกิดจากการที่เราทั้ง 4 คนต่างมี WiFi เป็นของตัวเองทำให้เราต่างคนต่างเดิน คิดว่าเราจะติดต่อกันได้ตลอดเวลา
มาญี่ปุ่นครั้งนี้พี่สมบูรณ์ให้พี่แชร์ hot spot กับปัญญ์เพื่อให้เราเดินใกล้ๆ กัน วันนี้ hot spot ไม่ค่อย work เพราะเราแม่ลูกเดินไกลกันมากขึ้นเรื่อยๆ การสื่อสารทุกอย่างถูกตัดขาด พี่ต้องใช้สัญชาตญาณและแผนที่นำทางแทน
พี่ใช้เวลาอัดเสียงธารน้ำตกที่ละลายมาจากน้ำแข็งบนยอดเขา วิวสวยจนต้องขอใช้เวลานั่งชมธรรมชาติอย่างละเมียดละไม สูดโอโซนจนเต็มปอด รื่นรมย์กับความงดงามของดอกไม้ป่า บ่อน้ำรูปหัวใจ เสียงนกร้องสลับกับเสียงภูเขาไฟที่ยังปะทุอยู่ตลอดเวลา เป็นช่วงเวลาที่รู้สึกว่าตัวเองตัวเล็กลงไปถนัดใจเมื่ออยู่ในสวนของพระเจ้าแห่งนี้
ที่นี่มีสัตว์ป่าสมบูรณ์มาก มีทั้งหมี สุนัขจิ้งจอก นกสวยหลายสายพันธุ์ กระเต็น เจ้าหน้าที่เตือนว่าขอให้ทุกคนพกกระดิ่งติดตัว ถ้าเจอหมีให้ค่อยๆ ถอยหลังออกมาอย่างสงบอย่าวิ่งหนีเพราะอาจโดนหมีตะปบได้
วันก่อนหน้าเรามามีวันเดียว มีคนพบสุนัขจิ้งจอกที่นี่พวกเราเตือนกันก่อนเดินว่าถ้าใครเจอหมีขอให้นิ่งไว้อย่าวิ่ง เพราะเราไม่มีเวลาซื้อกระดิ่ง แต่เสียงกระดิ่งของนักเดินป่าที่ดังกรุ๊งกริ๊งไปทั่วหุบเขา น่าจะช่วยไล่หมีให้พวกเราได้
เนื่องจากหุบเขาทั้งหมดกว้างมาก พี่สมบูรณ์และลูกหยุดรอบ้างเป็นระยะๆ จุดหมายปลายทางคือปล่องภูเขาไฟด้านบนที่ส่งควันพวยพุ่งและส่งเสียงดังปะทุตลอดเหมือนย้ำเตือนให้มนุษย์รู้ว่าด้านล่างของเปลือกโลกแห่งนี้ยังเต็มไปด้วยสายธารแห่งชีวิต
ความอัศจรรย์ของภูเขาแห่งนี้คือเราสามารถมองเห็นควันจากปล่องภูเขาไฟและธารน้ำแข็งอยู่เคียงคู่กัน ด้านหนึ่งร้อนระอุและอีกด้านหนึ่งยังคงสภาพ ณ จุดเยือกแข็ง ตอนพี่เดินขึ้นมาถึงปล่องภูเขาไฟ ลูกๆ เพิ่งเดินสวนลงมา
พี่เดินขึ้นมายืนชมความยิ่งใหญ่ตรงหน้าด้วยความเคารพ ยืนอยู่คนเดียวสักครู่ใหญ่ถึงมีนักอนุรักษ์ธรรมชาติชาวซีเรียเดินขึ้นมา เราต่างยืนชื่นชมธรรมชาติที่ยิ่งใหญ่อยู่เงียบๆ จนเราหันมายิ้มให้กัน
มิตรภาพท่ามกลางความงดงามของภูเขาได้ก่อตัวขึ้นอย่างเรียบง่าย เราคุยกันหลายเรื่อง จนก่อนจากเธอถามพี่ว่า “ที่เมืองไทยมีภูเขาไฟกี่ลูก” พี่ตอบว่า “ไม่มีเลย” ดูเธอแปลกใจมากเพราะเธอบอกว่าพี่ดูชื่นชมภูเขาไฟมาก พี่หัวเราะและบอกเธอว่าพี่เพิ่งเรียนเรื่องความขัดแย้งและ “ภูเขาไฟ” มาเลยอินมากเป็นพิเศษ
เราผลัดกันถ่ายรูปเดี่ยวให้กันและกัน โชคดีมีหนุ่มสาวชาวญี่ปุ่น 1 คู่เดินขึ้นมา พี่เลยขอให้เขาถ่ายรูปเราสองคนเก็บไว้ เราคุยกันต่อหลายเรื่องเพราะเธอทำเรื่องอนุรักษ์ธรรมชาติ เธอชอบที่นี่มากมากกว่าโตเกียวและกลุ่มเพื่อนที่มาด้วยก็รักธรรมชาติเหมือนกัน พี่เล่าให้เธอฟังว่าพี่ชอบเรื่องนิเวศน์เชิงลึกที่ทำให้เราเคารพธรรมชาติและอยู่ร่วมกับธรรมชาติอย่างสมดุล
กำลังคุยอย่างออกรสเราต้องเดินแยกทางกันตรงทางลง พี่เห็นหลังพี่สมบูรณ์และลูกอยู่ไวๆ วิวสวยตรงจุดชมวิวสุดท้ายของรอบ 1.7 ชั่วโมงมีคนนั่งปิคนิกกันเต็ม ส่วนมากเป็นคู่สามีภรรยาสูงวัยชาวญี่ปุ่น ทุกคนแต่งตัวแบบนักเดินเขาและถือไม้เท้าสำหรับเดินเขากันทุกคน
ทางเดินลงจุดสุดท้ายชันมาก โชคดีที่มีเชือกให้เกาะตลอดทางและพี่ใส่รองเท้าบูทที่คนขายยืนยันว่าเกาะพื้นมากแม้เดินบนหิมะ รู้สึกขอบคุณรองเท้าคู่ใจที่ไม่ทำให้ลื่นไถลไปเสียก่อน
กลับลงมาที่เชิงเขาเห็นพ่อลูกยืนรออยู่ โอมวิ่งมาช่วยแม่หิ้วของและจูงแม่เดินข้ามธารน้ำ ลูกๆ ช่วยประคองแม่ในช่วงทางขรุขระเป็นอย่างดี โอมบอกว่า “แม่แก่แล้ว คราวหน้าไปเที่ยวที่อื่นดีกว่านะ เที่ยวแบบนี้มันอันตรายเกินไป” พี่บอกว่า “ยังมีคนที่แก่กว่าแม่มาเที่ยวที่นี่เยอะมาก แม่ต้องดูแลตัวเองให้ดีจะได้มาเที่ยวแบบคุณลุงคุณป้าได้อีก”
พี่เดินรั้งท้ายเดินดูก้อนหินสีเหลืองที่มีกำมะถันอยู่เต็ม ปรางหันมาเตือนว่าเราผิดแผนไปเกือบชั่วโมงแล้วนะ เดี๋ยวไปกินมื้อเย็นไม่ทัน พี่มัวเพลิดเพลินใจกับธรรมชาติจนลืมเรื่องนัดมื้อเย็นไปสนิทใจ
อะไรจะเกิดขึ้นเมื่อเราผิดแผน ติดตามตอนต่อไปค่ะ
รัก
พี่ณี
16/7/61
บริษัท เดอะ ทรี เวิลด์ส ครีเอเตอร์ จำกัด
LINE ID : the3worldscreator
Facebook : www.facebook.com/the3worldscreator
Tel. 093-2459985, 02-5309150
Fax. 02-5309150