Inner Journey
ครั้งหนึ่ง ณ กรุงโซล (ตอนที่ 1)
ปีนี้ถือเป็นปีพิเศษสำหรับครอบครัวเราที่ได้มาเที่ยวติดกันแบบอาทิตย์ต่ออาทิตย์จากเชียงใหม่สู่กรุงโซล เราจองตารางว่างล่วงหน้าเกือบ 1 ปีเพราะปรางยังไม่ปิดภาคเรียนแต่น้อง 2 คนกำลังจะเปิดเทอมในต้นเดือนหน้า
ครอบครัวเราเคยซื้อทัวร์ไปเกาะเจจูในเกาหลีเมื่อหลายปีก่อน ช่วงนั้นลูกโตพอที่จะมาเที่ยวกับทัวร์ได้แล้วแต่โอมก็ยังเด็กที่สุดในบ้าน จำได้ว่าไกด์สั่งไข่ดาวให้โอมกินตลอดทริป (พ่อครัวหลายร้านพยายามเจียวไข่เจียวแต่ไม่สำเร็จ) บางมื้อที่ทัวร์สั่งบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปสลับให้โอมกิน เพราะเห็นโอมกินไข่ดาวเกือบทุกมื้อ ทุกคนได้แต่ขำขำกันกลับไปเพราะลูกกินไม่เป็น
เราเลือกกรุงโซลเป็นจุดหมายในการเดินทางไกลนอกประเทศพร้อมกันครั้งแรกในปีนี้ ด้วยเหตุผลที่เรียบง่ายคือเราอยากมาดูดอกซากุระบานและเราอยากมาเที่ยวกันเอง ปีนี้ปัญญ์ช่วยแบ่งเบาภาระพ่อไปได้เยอะมากเพราะพ่อเข้ามาช่วยตัดสินใจและขยับแผนเล็กน้อยก่อนขึ้นเครื่อง
ปัญญ์เพิ่มตารางเรื่องกินอาหารร้านอร่อยสไตล์วัยรุ่น นอกนั้นยังคงรูปแบบที่เราปฏิบัติเป็นธรรมเนียมของบ้านคือไหว้พระ ชมพระราชวัง เข้าพิพิธภัณฑ์ ท่องเที่ยวเชิงนิเวศน์ธรรมชาติ แวะซื้อหนังสือหรือซื้อของฝากกลับบ้าน
เราถึงสนามบินอินชอนตอน 7 โมงเช้า ช่วงนี้ถือเป็นฤดูใบไม้ผลิอากาศอยู่ระหว่าง 6-16 องศาขึ้นอยู่กับวัน เช้านี้ตอนเครื่องลงกัปตันประกาศว่าอากาศอยู่ที่10 องศาพอลงเครื่องอากาศขยับลงมาที่ 9 องศา เรานั่งรถไฟใต้ดินมาฝากกระเป๋าไว้ที่โรงแรม ก่อนไปเยี่ยมชมพระราชวังและพิพิธภัณฑ์ จบวันด้วยบุฟเฟต์ปิ้งย่างร้านดังก่อนกลับที่พัก
เราเลือกไปพระราชวังคย็องบกกุง ซึ่งเป็นวังหลวงที่ใหญ่ที่สุดในเกาหลีใต้ และเป็นพระราชวังที่งดงามที่สุดในบรรดาพระราชวังทั้ง 5 ในกรุงโซล ตั้งอยู่ด้านหน้าของยอดเขามังกร (เทือกเขาแพ็กอันซัน) ชื่อพระราชวัง”คยองบก” มีความหมายว่า “ราชวงศ์ใหม่จะมีความสุขและความเจริญรุ่งเรือง” ตั้งชื่อโดยนักปราชญ์นาม ซ็องโดจ็อน
พระราชวังคลาคล่ำไปด้วยคนเกาหลีและคนต่างชาติรวมถึงคนไทยที่แต่งกายด้วยชุดฮันบกซึ่งเป็นชุดแต่งกายประจำชาติเกาหลี มาเป็นหมู่คณะ ครอบครัว คนรักและมาเดี่ยว พี่ตื่นตาตื่นใจที่ได้เก็บทั้งภาพวิวทิวทัศน์และภาพผู้คนที่มาถ่ายรูปกันทั่วทุกมุมของพระราชวัง
เราเดินเข้าไปด้านในเพื่อชมพิพิธภัณฑ์คติชนแห่งชาติหรือ National Folk Museum of Korea ซึ่งจัดแสดงการดำรงชีวิตของชาวเกาหลีตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์จนถึงปัจจุบันทั้งในแง่วัฒนธรรม เกษตรกรรม การค้าขายที่เชื่อมขุมชนกับชุมขน คนกับคน สิ่งของกับสิ่งของ และการประกอบพิธีกรรมในแต่ละวาระของชีวิตตามปรัชญาขงจื๊อ
พี่สมบูรณ์ซื้อตั๋วเข้าชมพระราชวังทีเดียว 5 ที่ บัตรนี้ใช้ได้ภายใน 4 เดือน แต่บ้านเราคงใช้หมดภายใน 4 วันที่อยู่ในโซล ที่น่าสนใจคือพระราชวังและพิพิธภัณฑ์มีแผ่นพับภาษาไทยไว้บริการนักท่องเที่ยวชาวไทยด้วย
ก่อนเดินทางไปพระราชวังที่ 2 เราประเดิมอาหารเกาหลีมื้อแรกที่คาเฟ่ในพิพิธภัณฑ์ พี่รู้สึกว่าตัวเองชักติดใจข้าวยำเกาหลีมากขึ้นหลังกินไม่เป็นอยู่นาน เราต้องตัดการเยี่ยมชมหมู่บ้านโบราณซึ่งเราตั้งใจจะไปกินข้าวกลางวันในแถวนั้นออกเพราะทุกคนหิวข้าวมากแล้ว
เรามาถึงพระราชวังชางด็อกตอนบ่าย 3 โมง เลยต้องนั่งรอรอบที่มีไกด์พูดภาษาอังกฤษพาชม เรื่องราวที่ถ่ายทอดนั้นลุ่มลึก แฝงไปด้วยปรัชญา สอดแทรกคติธรรมให้เราได้ครุ่นคิดถึงความหมายที่แท้จริงของชีวิต ทุกอย่างมีความหมายตั้งแต่ทางเดินจนถึงต้นไม้ที่ปลูกโดยรอบ ที่สำคัญคือมีท้องพระโรงที่ประกอบพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์ทางศาสนาอยู่ด้านใน
ปิดท้ายวันแรกด้วยร้านบุฟเฟต์ปิ้งย่างซึ่งเราไปถึงช่วงเย็น ร้านเปลี่ยนจากบุฟเฟต์มาขายเป็นอาหารตามสั่งแทน แต่รสชาติและความอร่อยยังคงเหมือนเดิม เจ้าของร้านน่ารักมากมาบริการปิ้งย่าง สอนวิธีกิน ตักอาหารใส่จานให้เราแต่ละคนด้วยตัวเอง ปิ้งไปสักระยะคุณน้าเอาผ้าก็อตคล้ายสำลีมาเช็ดกะทะให้ นับเป็นความรู้ใหม่ตั้งแต่เคยกินปิ้งย่างมา
วันแรกที่โซลกระตุกให้พี่ได้กลับไปหวนคิดถึงช่วงเวลาสำคัญต่างๆ ในชีวิตตัวเอง ความสัมพันธ์ ขนบธรรมเนียมประเพณีมีเพียงเราเท่านั้นที่จะรักษาไว้ให้อยู่ถึงยุคลูกหลาน ยังมีเรื่องราวที่ดีต่อใจให้เราได้ค้นพบในวันถัดไป
รัก
พี่ณี
13/4/61
บริษัท เดอะ ทรี เวิลด์ส ครีเอเตอร์ จำกัด
LINE ID : the3worldscreator
Facebook : www.facebook.com/the3worldscreator
Tel. 093-2459985, 02-5309150
Fax. 02-5309150
ครอบครัวเราเคยซื้อทัวร์ไปเกาะเจจูในเกาหลีเมื่อหลายปีก่อน ช่วงนั้นลูกโตพอที่จะมาเที่ยวกับทัวร์ได้แล้วแต่โอมก็ยังเด็กที่สุดในบ้าน จำได้ว่าไกด์สั่งไข่ดาวให้โอมกินตลอดทริป (พ่อครัวหลายร้านพยายามเจียวไข่เจียวแต่ไม่สำเร็จ) บางมื้อที่ทัวร์สั่งบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปสลับให้โอมกิน เพราะเห็นโอมกินไข่ดาวเกือบทุกมื้อ ทุกคนได้แต่ขำขำกันกลับไปเพราะลูกกินไม่เป็น
เราเลือกกรุงโซลเป็นจุดหมายในการเดินทางไกลนอกประเทศพร้อมกันครั้งแรกในปีนี้ ด้วยเหตุผลที่เรียบง่ายคือเราอยากมาดูดอกซากุระบานและเราอยากมาเที่ยวกันเอง ปีนี้ปัญญ์ช่วยแบ่งเบาภาระพ่อไปได้เยอะมากเพราะพ่อเข้ามาช่วยตัดสินใจและขยับแผนเล็กน้อยก่อนขึ้นเครื่อง
ปัญญ์เพิ่มตารางเรื่องกินอาหารร้านอร่อยสไตล์วัยรุ่น นอกนั้นยังคงรูปแบบที่เราปฏิบัติเป็นธรรมเนียมของบ้านคือไหว้พระ ชมพระราชวัง เข้าพิพิธภัณฑ์ ท่องเที่ยวเชิงนิเวศน์ธรรมชาติ แวะซื้อหนังสือหรือซื้อของฝากกลับบ้าน
เราถึงสนามบินอินชอนตอน 7 โมงเช้า ช่วงนี้ถือเป็นฤดูใบไม้ผลิอากาศอยู่ระหว่าง 6-16 องศาขึ้นอยู่กับวัน เช้านี้ตอนเครื่องลงกัปตันประกาศว่าอากาศอยู่ที่10 องศาพอลงเครื่องอากาศขยับลงมาที่ 9 องศา เรานั่งรถไฟใต้ดินมาฝากกระเป๋าไว้ที่โรงแรม ก่อนไปเยี่ยมชมพระราชวังและพิพิธภัณฑ์ จบวันด้วยบุฟเฟต์ปิ้งย่างร้านดังก่อนกลับที่พัก
เราเลือกไปพระราชวังคย็องบกกุง ซึ่งเป็นวังหลวงที่ใหญ่ที่สุดในเกาหลีใต้ และเป็นพระราชวังที่งดงามที่สุดในบรรดาพระราชวังทั้ง 5 ในกรุงโซล ตั้งอยู่ด้านหน้าของยอดเขามังกร (เทือกเขาแพ็กอันซัน) ชื่อพระราชวัง”คยองบก” มีความหมายว่า “ราชวงศ์ใหม่จะมีความสุขและความเจริญรุ่งเรือง” ตั้งชื่อโดยนักปราชญ์นาม ซ็องโดจ็อน
พระราชวังคลาคล่ำไปด้วยคนเกาหลีและคนต่างชาติรวมถึงคนไทยที่แต่งกายด้วยชุดฮันบกซึ่งเป็นชุดแต่งกายประจำชาติเกาหลี มาเป็นหมู่คณะ ครอบครัว คนรักและมาเดี่ยว พี่ตื่นตาตื่นใจที่ได้เก็บทั้งภาพวิวทิวทัศน์และภาพผู้คนที่มาถ่ายรูปกันทั่วทุกมุมของพระราชวัง
เราเดินเข้าไปด้านในเพื่อชมพิพิธภัณฑ์คติชนแห่งชาติหรือ National Folk Museum of Korea ซึ่งจัดแสดงการดำรงชีวิตของชาวเกาหลีตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์จนถึงปัจจุบันทั้งในแง่วัฒนธรรม เกษตรกรรม การค้าขายที่เชื่อมขุมชนกับชุมขน คนกับคน สิ่งของกับสิ่งของ และการประกอบพิธีกรรมในแต่ละวาระของชีวิตตามปรัชญาขงจื๊อ
พี่สมบูรณ์ซื้อตั๋วเข้าชมพระราชวังทีเดียว 5 ที่ บัตรนี้ใช้ได้ภายใน 4 เดือน แต่บ้านเราคงใช้หมดภายใน 4 วันที่อยู่ในโซล ที่น่าสนใจคือพระราชวังและพิพิธภัณฑ์มีแผ่นพับภาษาไทยไว้บริการนักท่องเที่ยวชาวไทยด้วย
ก่อนเดินทางไปพระราชวังที่ 2 เราประเดิมอาหารเกาหลีมื้อแรกที่คาเฟ่ในพิพิธภัณฑ์ พี่รู้สึกว่าตัวเองชักติดใจข้าวยำเกาหลีมากขึ้นหลังกินไม่เป็นอยู่นาน เราต้องตัดการเยี่ยมชมหมู่บ้านโบราณซึ่งเราตั้งใจจะไปกินข้าวกลางวันในแถวนั้นออกเพราะทุกคนหิวข้าวมากแล้ว
เรามาถึงพระราชวังชางด็อกตอนบ่าย 3 โมง เลยต้องนั่งรอรอบที่มีไกด์พูดภาษาอังกฤษพาชม เรื่องราวที่ถ่ายทอดนั้นลุ่มลึก แฝงไปด้วยปรัชญา สอดแทรกคติธรรมให้เราได้ครุ่นคิดถึงความหมายที่แท้จริงของชีวิต ทุกอย่างมีความหมายตั้งแต่ทางเดินจนถึงต้นไม้ที่ปลูกโดยรอบ ที่สำคัญคือมีท้องพระโรงที่ประกอบพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์ทางศาสนาอยู่ด้านใน
ปิดท้ายวันแรกด้วยร้านบุฟเฟต์ปิ้งย่างซึ่งเราไปถึงช่วงเย็น ร้านเปลี่ยนจากบุฟเฟต์มาขายเป็นอาหารตามสั่งแทน แต่รสชาติและความอร่อยยังคงเหมือนเดิม เจ้าของร้านน่ารักมากมาบริการปิ้งย่าง สอนวิธีกิน ตักอาหารใส่จานให้เราแต่ละคนด้วยตัวเอง ปิ้งไปสักระยะคุณน้าเอาผ้าก็อตคล้ายสำลีมาเช็ดกะทะให้ นับเป็นความรู้ใหม่ตั้งแต่เคยกินปิ้งย่างมา
วันแรกที่โซลกระตุกให้พี่ได้กลับไปหวนคิดถึงช่วงเวลาสำคัญต่างๆ ในชีวิตตัวเอง ความสัมพันธ์ ขนบธรรมเนียมประเพณีมีเพียงเราเท่านั้นที่จะรักษาไว้ให้อยู่ถึงยุคลูกหลาน ยังมีเรื่องราวที่ดีต่อใจให้เราได้ค้นพบในวันถัดไป
รัก
พี่ณี
13/4/61
บริษัท เดอะ ทรี เวิลด์ส ครีเอเตอร์ จำกัด
LINE ID : the3worldscreator
Facebook : www.facebook.com/the3worldscreator
Tel. 093-2459985, 02-5309150
Fax. 02-5309150